ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างกระแสไฟเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าปลั๊กไฟจุดนี้มีไฟหรือไม่ หรือแบตเตอรี่ก้อนนี้เสื่อมสภาพไปแล้วหรือยังด้วยตาเปล่า เครื่องมือวัดไฟฟ้าอย่าง มัลติมิเตอร์ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับช่างเทคนิค วิศวกร หรือแม้แต่พ่อบ้านที่ต้องการซ่อมแซมอุปกรณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้าน
บทความนี้ SGB จะพาไปทำความเข้าใจว่า มัลติมิเตอร์ คืออะไร มันมีหลักการทำงานอย่างไร และฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่นั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานจริงได้อย่างไร รวมถึงเจาะลึกความแตกต่างระหว่างประเภทของมิเตอร์ เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้เหมาะกับงานและปลอดภัยที่สุด

มัลติมิเตอร์ คืออะไร?
มัลติมิเตอร์ คือ เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการวัดค่าทางไฟฟ้าได้หลายพารามิเตอร์ในเครื่องเดียวเพื่อการตรวจสอบสถานะของวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น วัดแรงดันไฟฟ้า วัดกระแสไฟฟ้า และวัดความต้านทาน ในเครื่องเดียว
เพราะเดิมทีเราอาจจะต้องพกพาโวลต์มิเตอร์สำหรับวัดแรงดัน แอมป์มิเตอร์สำหรับวัดกระแส และโอห์มมิเตอร์สำหรับวัดความต้านทาน แยกกันเป็นสามเครื่อง แต่ด้วยวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี ผู้ผลิตจึงรวมฟังก์ชันเหล่านี้เข้าด้วยกันและเรียกว่า VOM (Volt-Ohm-Milliammeter) ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ Multimeter
หน้าที่หลักของมัลติมิเตอร์คือการตรวจสอบสถานะของวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการหาจุดที่สายไฟขาด การตรวจสอบว่าอุปกรณ์กินไฟผิดปกติหรือไม่ หรือการวัดค่าอุปกรณ์ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นอุปกรณ์สามัญประจำกล่องเครื่องมือในฐานะด่านแรกในการตรวจสอบความผิดปกติทั้งสิ้น
โครงสร้างพื้นฐานของมัลติมิเตอร์จะประกอบไปด้วยส่วนแสดงผล ซึ่งอาจจะเป็นหน้าปัดแบบเข็มหรือหน้าจอตัวเลข ปุ่มปรับเลือกย่านวัดเพื่อกำหนดว่าเราต้องการวัดค่าอะไร และช่องเสียบสายวัด ซึ่งโดยปกติจะมีสายสีแดงเป็นขั้วบวกและสายสีดำเป็นขั้วลบ การใช้งานที่ถูกต้องเริ่มจากการเสียบสายวัดให้ถูกช่องและหมุนปุ่มปรับไปยังย่านวัดที่ต้องการก่อนทำการวัดเสมอ หากทำผิดขั้นตอนอาจทำให้ฟิวส์ภายในขาดหรือวงจรมิเตอร์เสียหายได้ทันที
ตัวอย่างหน้าตาของ ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ รุ่น DT-991 SUMO
ฟังก์ชันที่มักจะพบได้ในมัลติมิเตอร์
มัลติมิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดไฟฟ้าที่รวมความสามารถในการวัดค่าทางไฟฟ้า ทำให้บางครั้งแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้ออาจมีลูกเล่นที่แตกต่างกัน แต่ฟังก์ชันพื้นฐานที่มัลติมิเตอร์ที่ดีควรจะมีและมักจะพบได้ทั่วไปมีดังนี้
การวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage)
ฟังก์ชันการวัดแรงดันไฟฟ้า เป็นฟังก์ชันที่ถูกใช้งานบ่อยที่สุดของมัลติมิเตอร์ โดยมัลติมิเตอร์จะสามารถวัดได้ทั้งแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC Voltage) และแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltage)
- การวัดแรงดันไฟ DC มักใช้กับงานอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่รถยนต์ หรือถ่านไฟฉาย สัญลักษณ์มักจะเป็นตัว V ที่มีเส้นตรงและเส้นประอยู่ด้านบน การวัดค่านี้จะบอกให้รู้ว่าแหล่งจ่ายไฟยังมีกำลังเพียงพอหรือไม่ เช่น การวัดแบตเตอรี่รถยนต์ขณะดับเครื่อง ถ้าได้ค่าต่ำกว่า 12V อาจแสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ
- ส่วนการวัดแรงดันไฟ AC จะใช้กับไฟบ้านหรือไฟโรงงาน สัญลักษณ์จะเป็นตัว V ที่มีเส้นคลื่น Sine wave ด้านบน ทั้งนี้ การวัดส่วนนี้ต้องใช้ความระมัดระวังสูงเพราะแรงดันไฟ 220V สามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้ การใช้งานจริงเช่นการเช็กปลั๊กพ่วงว่ามีไฟมาครบทุกช่องหรือไม่ หรือตรวจสอบแรงดันตกในระบบสายส่ง
การวัดกระแสไฟฟ้า (Current)
ฟังก์ชันการวัดกระแสไฟฟ้าของมัลติมิเตอร์ มีหน่วยเป็นแอมแปร์ เป็นการวัดปริมาณการไหลของอิเล็กตรอนในวงจร ฟังก์ชันนี้มีความซับซ้อนในการใช้งานมากกว่าการวัดแรงดัน เพราะการวัดกระแสด้วยมัลติมิเตอร์แบบธรรมดา (ไม่ใช่แคลมป์มิเตอร์) จำเป็นต้องต่อมิเตอร์ “อนุกรม” กับวงจร นั่นหมายความว่าคุณต้องตัดวงจรให้ขาดออกจากกัน แล้วนำสายวัดของมิเตอร์ไปเชื่อมต่อเพื่อให้กระแสไหลผ่านตัวมิเตอร์
ห้ามนำมิเตอร์ในย่านวัดกระแสไปวัดคร่อมแหล่งจ่ายไฟเหมือนวัดแรงดันเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการลัดวงจรอย่างรุนแรง ฟิวส์ภายในมิเตอร์จะขาดทันที หรือในกรณีร้ายแรงอาจทำให้มิเตอร์ระเบิดได้
การวัดความต้านทาน (Resistance)
การวัดความต้านทานมีหน่วยเป็นโอห์ม (Ohm) ใช้สำหรับวัดค่าความต้านทานของตัวต้านทาน (Resistor) หรือตรวจสอบสภาพของขดลวดมอเตอร์และหม้อแปลงไฟฟ้า หลักการคือมิเตอร์จะจ่ายกระแสไฟฟ้าเล็กน้อยออกมาจากแบตเตอรี่ภายในเครื่องผ่านไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการวัด แล้วคำนวณกลับมาเป็นค่าความต้านทาน
ข้อสำคัญคือต้องทำการวัดเมื่อ “ไม่มีไฟจ่ายอยู่ในวงจรเท่านั้น” หากวัดความต้านทานขณะที่มีไฟเลี้ยงอยู่ อาจทำให้ค่าเพี้ยนหรือมิเตอร์เสียหายได้
การทดสอบความต่อเนื่อง (Continuity Test)
ฟังก์ชันนี้มักจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปคลื่นเสียงหรือรูปไดโอด จุดเด่นคือเมื่อสายวัดทั้งสองขั้วแตะกันหรือวงจรเชื่อมถึงกัน มิเตอร์จะส่งเสียง “ติ๊ด” ออกมา ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากในงานซ่อมบำรุง เพราะช่างไม่ต้องละสายตามามองหน้าจอ สามารถใช้ฟังเสียงเพื่อเช็กว่าสายไฟเส้นยาว ๆ ขาดในหรือไม่ หรือตรวจสอบลายวงจรพิมพ์ (PCB) ว่าเชื่อมต่อกันถูกต้องหรือไม่
การวัดไดโอด (Diode Test)
ฟังก์ชันการวัดไดโอดของมัลติมิเตอร์ ใช้สำหรับตรวจสอบสถานะของไดโอดและทรานซิสเตอร์ โดยมิเตอร์จะจ่ายแรงดันออกมาค่าหนึ่งเพื่อดูว่าไดโอดนำกระแสหรือไม่ หากไดโอดปกติ จะมีแรงดันตกคร่อมประมาณ 0.5-0.7 โวลต์ (สำหรับซิลิกอนไดโอด) ในทิศทางไบอัสตรง และจะไม่ขึ้นค่าในทิศทางไบอัสกลับ หากวัดแล้วขึ้นค่าศูนย์ทั้งสองด้านแสดงว่าไดโอดช็อต หรือถ้าไม่ขึ้นค่าเลยทั้งสองด้านแสดงว่าไดโอดขาด
การวัดค่าความจุไฟฟ้า (Capacitance)
มัลติมิเตอร์รุ่นใหม่ ๆ หรือรุ่นที่มีราคาสูงขึ้นมาหน่อยจะมีฟังก์ชันนี้เพื่อวัดตัวเก็บประจุ (Capacitor) หน่วยเป็นฟารัด (Farad) ใช้ตรวจสอบว่าตัวเก็บประจุในพัดลม แอร์ หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แห้งหรือเสียหรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ทำงานหรือหมุนช้าลง
ฟังก์ชัน NCV (Non-Contact Voltage)
ฟังก์ชัน NCV มีชื่อเต็มว่า Non-Contact Voltage คือ ฟังก์ชันตรวจจับแรงดันไฟฟ้าแบบไม่สัมผัส เป็นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่มักใส่มาในมัลติมิเตอร์ยุคใหม่ ผู้ใช้เพียงแค่นำส่วนหัวของมิเตอร์ไปจ่อใกล้ ๆ กับสายไฟหรือเต้ารับ หากมีกระแสไฟวิ่งอยู่ มิเตอร์จะส่งเสียงเตือนหรือมีไฟกระพริบ ช่วยให้ตรวจสอบเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องเอาสายวัดไปจิ้มเสี่ยงอันตราย
มัลติมิเตอร์แบบเข็ม
มัลติมิเตอร์แบบเข็ม หรือ อนาล็อกมัลติมิเตอร์ เป็นรูปแบบดั้งเดิมที่ส่วนแสดงผลจะใช้เข็มชี้ไปที่สเกลหน้าปัด โดยอาศัยหลักการของขดลวดเคลื่อนที่ (Galvanometer) เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดจะเกิดสนามแม่เหล็กผลักให้เข็มเบนไปจุดเด่นของมัลติมิเตอร์แบบเข็มคือไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่และมีการตอบสนองที่รวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณไฟฟ้าได้ชัดเจนกว่าตัวเลขดิจิตอลที่กระพริบเปลี่ยนไปมา เช่น การวัดสัญญาณเสียง หรือการตรวจสอบการเก็บและคายประจุของคาปาซิเตอร์ อาการเข็มกระดิกขึ้นแล้วค่อย ๆ ตกลง เป็นภาพที่ทำให้ช่างเทคนิคเข้าใจได้ในทันทีว่าคาปาซิเตอร์ยังดีอยู่หรือไม่
ตัวอย่าง มัลติมิเตอร์แบบเข็ม อนาล็อกมัลติมิเตอร์ รุ่น YX-360TRE-A-H SUMO
แต่ข้อเสียคือการอ่านค่าต้องอาศัยความชำนาญ ต้องมองในมุมที่ตั้งฉากกับหน้าปัดเพื่อลดความผิดพลาดจากการมองเห็น และตัวเครื่องมักจะไม่ทนต่อแรงกระแทก หากทำตก เข็มหรือระบบกลไกอาจเสียหายได้ง่าย อีกทั้งความต้านทานภายในของมิเตอร์แบบเข็มมักจะต่ำกว่าแบบดิจิตอล ซึ่งอาจรบกวนการทำงานวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความไวสูง ทำให้ค่าคลาดเคลื่อนในบางวงจร
มัลติมิเตอร์ดิจิตอล
มัลติมิเตอร์ดิจิตอล (Digital Multimeter หรือ DMM) คือ มาตรฐานของการวัดในปัจจุบัน เปลี่ยนจากการใช้เข็มมาเป็นการประมวลผลด้วยวงจร Analog-to-Digital Converter (ADC) และแสดงผลเป็นตัวเลขบนหน้าจอ LCD หรือ LED ทำให้อ่านค่าได้ง่าย รวดเร็ว และไม่มีความผิดพลาดจากการอ่านสเกลข้อดีที่ทำให้มัลติมิเตอร์ดิจิตอลครองตลาดคือความแม่นยำที่สูงกว่า และฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ระบบปรับย่านวัดอัตโนมัติ (Auto-ranging) ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้ค่าประมาณล่วงหน้าเพื่อเลือกย่านวัด เพียงแค่ปรับไปที่โหมดโวลต์หรือโอห์ม เครื่องจะคำนวณและเลือกย่านที่เหมาะสมที่สุดให้เอง
อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญในมัลติมิเตอร์ดิจิตอลเกรดดีคือ True RMS (Root Mean Square) ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการวัดไฟฟ้ากระแสสลับที่มีรูปคลื่นไม่เป็น Sine wave บริสุทธิ์ เช่น ไฟจากอินเวอร์เตอร์ หรืออุปกรณ์ปรับความเร็วมอเตอร์ หากใช้มิเตอร์ราคาถูกทั่วไปวัด ค่าที่ได้อาจผิดเพี้ยนไปมาก แต่ถ้าเป็น True RMS จะสามารถอ่านค่าความร้อนจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ
มิเตอร์วัดไฟฟ้าดิจิตอล 6in1 รุ่น DT-61 SUMO
นอกจากนี้ ความทนทานเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง มัลติมิเตอร์ดิจิตอล ส่วนใหญ่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ทำให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าแบบเข็ม นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันตัวเองที่ดีกว่า เช่น หากตั้งย่านวัดผิด เครื่องอาจแค่ฟิวส์ขาดหรือมีระบบป้องกันอิเล็กทรอนิกส์ตัดการทำงาน ไม่ถึงกับพังเสียหายเหมือนแบบเข็ม
แคลมป์มิเตอร์
แม้ว่ามัลติมิเตอร์ทั่วไปจะวัดกระแสได้ แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณกระแสที่รับได้ (ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 10A หรือ 20A) และความยุ่งยากที่ต้องตัดต่อวงจรเพื่อแทรกมิเตอร์เข้าไป แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ
แคลมป์มิเตอร์ คือ มิเตอร์วัดไฟฟ้าที่มีลักษณะเด่นคือมี “ก้ามปู” หรือห่วงที่ส่วนหัว ใช้สำหรับคล้องสายไฟเพื่อวัดกระแส หลักการทำงานอาศัยการตรวจจับสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นรอบสายไฟขณะที่มีกระแสไหลผ่าน แล้วแปลงค่าออกมาเป็นตัวเลขแอมแปร์ ข้อดีมหาศาลคือสามารถวัดกระแสสูง ๆ ระดับร้อยหรือพันแอมป์ได้ และที่สำคัญคือ “ไม่ต้องดับไฟ” หรือตัดสายไฟเพื่อทำการวัด ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม หรือการตรวจสอบการกินกระแสของแอร์ขณะทำงาน
แคลมป์มิเตอร์ รุ่น DT-3343 SUMO
แคลมป์มิเตอร์รุ่นใหม่ ๆ มักจะรวมฟังก์ชันของมัลติมิเตอร์เข้ามาด้วย เช่น มีช่องเสียบสายโพรบเพื่อวัดแรงดันและความต้านทานได้ ทำให้พกพาเครื่องเดียวก็ทำงานได้เกือบครบ แต่ข้อควรจำคือการใช้ก้ามปูคล้องวัดกระแสนั้น ต้องคล้องสายไฟเพียง “เส้นเดียว” เท่านั้น (สาย L หรือ N) หากคล้องรวมกันทั้งสองเส้น สนามแม่เหล็กจะหักล้างกันทำให้วัดค่าได้เป็นศูนย์
เครื่องมัลติมิเตอร์แบบไหนเหมาะกับคุณ
หากคุณเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือผู้เริ่มต้นเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ มัลติมิเตอร์แบบเข็มราคาประหยัดอาจเป็นครูที่ดีในการฝึกอ่านสเกลและทำความเข้าใจพฤติกรรมของวงจร หรืออาจเลือกมัลติมิเตอร์ดิจิตอลรุ่นเริ่มต้นที่มีฟังก์ชันพื้นฐานครบก็เพียงพอ
สำหรับช่างไฟฟ้าบ้าน งานซ่อมบำรุงอาคาร แคลมป์มิเตอร์ที่มีฟังก์ชันมัลติมิเตอร์ในตัวดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด เพราะงานส่วนใหญ่ต้องข้องเกี่ยวกับการวัดกระแสไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าและการเช็กแรงดันไฟบ้าน ความสามารถในการวัดกระแสโดยไม่ต้องตัดวงจรจะช่วยประหยัดเวลาและปลอดภัยกว่ามาก
ส่วนงานซ่อมบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ หรือช่างยนต์ มัลติมิเตอร์ดิจิตอลที่มีความแม่นยำสูง (Precision DMM) คือคำตอบ ควรเลือกรุ่นที่มีฟังก์ชัน Auto-range, วัดค่า C (Capacitance) ได้, วัดความถี่ได้ และมีระบบ True RMS หากต้องทำงานกับสัญญาณที่ซับซ้อน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มาตรฐานความปลอดภัย CAT Ratings
ก่อนตัดสินใจซื้อมัลติมิเตอร์ สิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นอันดับแรก ๆ คือมาตรฐานความปลอดภัยที่ระบุบนตัวเครื่อง ซึ่งแบ่งเป็น Categories (CAT) เพื่อบอกว่ามิเตอร์ตัวนั้นทนต่อแรงดันกระชากได้แค่ไหนในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
- CAT I เหมาะสำหรับงานอิเล็กทรอนิกส์ แรงดันต่ำ ไม่ได้ต่อกับไฟบ้านโดยตรง
- CAT II เหมาะสำหรับวัดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กไฟบ้าน เช่น ทีวี คอมพิวเตอร์
- CAT III เหมาะสำหรับวัดระบบไฟฟ้าในอาคาร ตู้เบรกเกอร์ สวิตช์บอร์ด สายเมนภายในบ้าน
- CAT IV เหมาะสำหรับงานภายนอกอาคาร ต้นทางของระบบไฟฟ้า หรือสายส่งการไฟฟ้า
หากคุณต้องทำงานวัดไฟบ้านหรือตู้คอนซูเมอร์ ควรเลือกมิเตอร์ที่ระบุมาตรฐาน CAT III 600V เป็นอย่างน้อย เพื่อความปลอดภัยของชีวิต อย่าเสี่ยงใช้มิเตอร์ราคาถูกที่ไม่มีมาตรฐานรับรองกับงานไฟฟ้าแรงดันสูง เพราะเมื่อเกิดความผิดพลาด มิเตอร์เกรดต่ำอาจเกิดการอาร์คและระเบิดใส่มือผู้ใช้ได้
สรุปแล้ว มัลติมิเตอร์ คือเครื่องมือคู่กายที่ช่วยไขความลับของกระแสไฟฟ้า การเลือกใช้ให้ถูกประเภทและถูกวิธี ไม่เพียงแต่ช่วยให้งานสำเร็จลุล่วง แต่ยังหมายถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคุณด้วย การลงทุนกับมิเตอร์คุณภาพดีสักเครื่อง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวอย่างแน่นอน
ถ้าหากคุณกำลังมองหาและลงทุนซื้อมัลติมิเตอร์ เราขอแนะนำมัลติมิเตอร์ SUMO จาก SGB มัลติมิเตอร์คุณภาพสูงหลากหลายรูปแบบตามความต้องการการใช้งานของคุณ ทั้งอนาล็อกมัลติมิเตอร์ ดิจิตอลมัลติมิเตอร์ แคลมป์มิเตอร์ และเครื่องมือวัดอื่น ๆ ทั้งหมดที่เดียวบนเว็บไซต์ SGB.CO.TH







